
รับจัดงานพิธีเปิด พิธีเปิดบริษัท รับจัดงานพิธีวางศิลาฤกษ์ พิธีบวงสรวง
รับจัดวางศิลาฤกษ์ พิธีตั้งศาลพระภูมิ-ตั้งเสาเอก-พิธียกเสาเอก-เสาโท ครบชุด เครื่องตั้งศาล ศาลพระภูมิ ศาลตา- ยาย พิธีบวงสรวง ตั้งศาล ยกเสาเอก วางศิลาฤกษ์ จัดบายศรี ดอกไม้หน้าศพ หน้าเมรุ ผลงานของเรา
รับจัดพิธียกเสาเอก
จัดผลไม้ไหว้เสาเอกเสาโท
พราหมณ์ลงเสาเอก
พราหมณ์ขึ้นเสาเอก
ฤกษ์ยกเสาเอกบ้าน
ยกเสาเอกแบบเรียบง่าย
รับจัดงานพิธีเปิด
พิธีเปิดบริษัท
ตามรอยพราหมณ์วัดนารายณิการาม
วัดนารายณิการาม ( วัดเหล )
วัดเหลตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 3 ตำบลเหล ห่างจากที่ว่าการอำเภอประมาณ 14 กม. เป็นที่ประดิษฐานเทวรูปพระนารายณ์ (องค์จำลอง) พระลักษณ์(องค์จำลอง) และนางสีดา(องค์แท้จริง) ซึ่งองค์จริงปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต รูปสลักเหล่านี้มีความสำคัญเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเมือง "ตะโกลา" (ชื่อเดิมของเมืองตะกั่วป่า) นอกจากนี้ยังพบศิลาจารึกอายุ 1,300-1,400 ปี ที่ ขุดได้บริเวณยอดเขาเลียง อยู่ภายในวัด รูปสลักเหล่านี้มีความสำคัญเกี่ยวกับประวัติความ เป็นมาของเมือง "ตะโกลา" (ชื่อเดิมของเมืองตะกั่วป่า) และการเผยแพร่เข้ามาของ วัฒนธรรมของพราหมณ์ในประเทศอินเดียในภูมิภาคแถบนี้ นอกจากนั้นอำเภอกะปงยังมีน้ำตกอื่น ๆ ที่ชาวบ้านนิยมไปเที่ยวพักผ่อน คือ น้ำตกแสงทอง เป็นน้ำตกเล็ก ๆ และ น้ำตกหินลาดหรือน้ำตกแล่งหิน เป็นน้ำตกที่มีโขดหิน และธารน้ำใส
เดิมเทวรูปพระนารายณ์เคยประดิษฐานอยู่บนยอดเขาพระนารายณ์ ต่อมาใน พ.ศ.2328 พม่ายกทัพเข้ามาตีเมืองตะกั่วป่าและกะปง พบเทวรูปบนยอดเขาจึงนำไปด้วย แต่เกิดอาเพศพายุฝนกระหน่า พม่าหวาดกลัว จึงทิ้งเทวรูปไว้ตรงข้ามภูเขา ภายหลังมีต้นตะแบกขึ้นปกคลุม จนกระทั่งวันที่ 1 สิงหาคม 2522 พระครูโสภณประชานุกูล เจ้าอาวาสวัดนารายณิการาม นำภิกษุและสามเณรไปช่วยกันขุดโคนต้นตะแบก พบเศียรและชิ้นส่วนขององค์พระนารายณ์ เช่น จักร ชายผ้า ฐานยัวรองพระบาท พระกรด้านหลัง และอีกหลายส่วน จึงนำมาประดิษฐานไว้ที่วัด ต่อมาได้ย้ายเทวรูป พระนารายณ์ไปประดิษฐาน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติถลาง ภูเก็ต โดยจัดทำองค์จำลองไว้แทน เทวรูปพระนารายณ์จำลองและโบราณวัตถุ องค์พระนารายณ์เป็นศิลปะอินเดีย แบบปัลละวะตอนปลาย อันเป็นรูปแบบที่นำเข้ามาทางภาคใต้พร้อมกับวัฒนธรรมอินเดียในช่วง พ.ศ.1100-1300 นอกจากนี้ยังมีชิ้นส่วนของเทวรูปต่างๆ เช่น พระกรซ้ายของพระลักษมณ์ ชิ้นส่วนชายผ้าทรงพระนารายณ์ และรูปศิวลึงค์ทำด้วยศิลา คาดว่าเป็นของชาวอินเดียวที่มียศศักดิ์สูง ใช้พกติดตัวเพื่อบูชา พบที่วังเวียง (ระหว่าง ต.เหล และ ต.ท่านา) ซึ่งเชื่อว่าเป็นเมืองแรกของตะกั่วป่า และเทวรูปหิน พระพุทธรูป ชิ้นส่วนโบราณวัตถุต่างๆ ทั้งหมดอยู่ในบริเวณศาลาวัด ได้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น อยู่ในศาลาใกล้กุฏิเจ้าอาวาส ภายในมีเครื่องถ้วยชามสมัยเก่า ถ้วยลายคราม โอ่ง ไห ปืน ตู้ นาฬิกาและอื่นๆ มากมาย ซึ่งบางส่วนชาวตะกั่วป่าและกะปงบริจาคมา และท่านเจ้าอาวาสได้จัดซื้อ และหามา จากสถานที่ต่างๆ
ความแพร่หลายของพราหมณ์ในแหลมมลายู
ความแพร่หลายของพราหมณ์ในแหลมมลายู
เพื่อให้เรื่องแคบเข้ามาสู่วัตถุประสงค์ที่จะวกเข้าหาวัดเท้าโคตรจึงจะพูดถึงการขยายตัวของพราหมณ์ในขอบเขตแหลมมลายู โดยเฉพาะในภาคใต้ของประเทศไทยเท่านั้น
สายที่ ๑ คือ สายบาตูปาฮัต
เมื่อตั้งชุมนุมชนปึกแผ่นหลายร้อยปีแล้วก็ค่อยเคลื่อนย้ายขึ้นออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ย่างเข้าแคว้นแดนดินซึ่งต่อมากลายเป็นประเทศ“ลังกาสุกะ” สายนี้ตะลุยขึ้นไปตามเส้นทางที่กล่าวแล้ว จนเข้าเขตท้องที่เดี๋ยวนี้ซึ่งเรียกว่าเมืองสงขลา ข้ามทะเลสาบเข้าสู่อำเภอสะทิงพระและระโนด บางพวกก็ตัดข้ามทะเลสาบตรงไปทางตะวันตกไปตั้งชุมนุมชนขึ้นที่บางแก้ว เขตจังหวัดพัทลุง และไม่หยุดยั้งเพียงเท่านั้น ข้ามแม่น้ำท่าเสม็ดทางเหนือ เข้าเขตเมืองนครศรีธรรมราชทางด้านใต้ แล้วเคลื่อนย้ายไปเรื่อย ผ่านอำเภอชะอวด ร่อนพิบูลย์ จนเข้าถึงย่านตัวเมืองนครศรีธรรมราช
ซึ่งขณะนั้นพวกเนกรีตอส เจ้าถิ่นเดิม อพยพขึ้นไปอยู่แถวริมภูเขาบันทัด อันเป็นเสมือนกระดูกสันหลังของแหลมมลายูตอนใต้หมดแล้ว เฉพาะในเขตท้องที่เรียกว่า “เขาวัง” นั้นพวกวาณิชยพราหมณ์เห็นว่าเป็นทำเลที่เหมาะเพราะมีภูเขากำแพงล้อมลอบ และเรือสำเภาเข้าถึง (ตำบลขุนทะเลเดี๋ยวนี้) จึงได้ตั้งเป็นเมืองขึ้นเสียเลย พราหมณ์สายบาตูปาฮัตนี้อาจเรียกได้ว่าสะดุดหยุดลงที่ในเขตแหลมมาลายูตอนเหนือ คือตั้งแต่รัฐเคดาห์ขึ้นมาจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช ได้ตั้งเป็นเมืองหรือชุมนุมใหญ่ๆ ขึ้นทุกแห่งที่พราหมณ์ผ่านไป แต่ละแห่งก็ตั้งอยู่เป็นร้อยๆ ปี ทิ้งรอยให้ปรากฏอยู่ทุกแห่ง โดยเฉพาะเขตเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งจะได้กราบเรียนต่อไป
สายที่ ๒ คือ สายตะโกลา
นับว่าเป็นสายหรือคณะพราหมณ์ที่ใหญ่ที่สุดที่หลั่งไหลเข้ามาสู่แหลมอินโดจีน และยังแพร่เข้ามาถึงเมืองนครศรีธรรมราชด้วย ซึ่งทำให้มีพราหมณ์เกิดเป็น ๒ พวกดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่าพราหมณ์สายตะโกลานี้มีความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้า โดยมุ่งจะครอบคลุมแหลมอินโดจีนให้หมดทีเดียว จึงใช้วิธีการจาริกเป็น ๒ อย่าง คือทั้งทางน้ำและทางบก โดยชั้นแรกล่องขึ้นตามลำแม่น้ำตะกั่วป่า ข้ามเขาสก เดินเลียบริมแม่น้ำคีรีรัฐซึ่งไหลลงสู่อ่าวไทยทางตะวันออกจนถึงบ้านพาน อันเป็นชุมทางร่วมกับสาขาใหญ่ของแม่น้ำตาปีอีกสายหนึ่ง เรียกว่าแม่น้ำหลวง พราหมณ์ได้ตั้งชุมนุมชนขึ้นจนกลายเป็นเมือง เรียกว่า “จักรพาน-พาน”(ซึ่งต่อมาเพี้ยนเป็นพุนพินคือสถานีสุราษฎร์ธานีเดี๋ยวนี้) เมื่อถึงบ้านพานแล้ว ก็แบ่งออกเป็น ๓ พวก
พวกหนึ่งเดินบกไปสู่ทิศเหนือ ไปจนถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นดินแดนของอาณาจักรกัมโพช พวกหนึ่งแสวงหาเรือออกทะเลที่อ่าวบ้านดอน แล่นเรือข้ามอ่าวไทยตรงไปทางทิศตะวันออก ไปขึ้นฝั่งที่ดินแดนอันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศกัมพูชาเดี๋ยวนี้ส่วนอีกพวกหนึ่งเดินท้าวเลียบริมแม่น้ำหลวง (สาขาแม่น้ำตาปี) ไปทางทิศใต้ ไปตั้งหลักฐานอยู่ที่บ้านส้อง อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานีเดี๋ยวนี้ อีกพวกหนึ่งเป็นพวกที่ ๔ เดินเท้ามุ่งไปทางทิศตะวันออกเข้าสู่ฝั่งทะเลของอ่าวไทย ผ่านเข้าบ้านกะแดะ (กาญจนดิษฐ์) เข้าชานเมืองนครศรีธรรมราช คือ อำเภอดอนสัก สิชล ท่าศาลา แล้วมาสะดุดหยุดลงในบริเวณที่เป็นวัดเสมาเมือง ใจกลางเมืองนครศรีธรรมราชเดี๋ยวนี้ ที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องราวเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว
เป็นอันว่าคณะพราหมณ์ที่ออกจากชมพูทวีปเมืองรามนครแล้วข้าพเจ้าแบ่งเป็น ๒ พวก เมื่อขึ้นฝั่งแหลมมลายูได้แล้ว ก็แพร่สะพัดไปในดินแดนแหลมอินโดจีนตั้งแต่ไทยยังไม่อพยพลงมาจากประเทศจีน อาจเรียกได้ว่านอกจากพม่าและลาวแล้ว ดินแดนส่วนนี้ของแหลมอินโดจีนตกอยู่ใต้อำนาจของพราหมณ์เกือบทั้งหมด
มีข้อสังเกตว่า ทุกแห่งที่พราหมณ์ไปตั้งชุมนุมชนอยู่ที่ไหน พราหมณ์ได้สร้างเทวสถานให้ปรากฏขึ้นที่นั้นทิ้งร่องรอยให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้นับเป็นส่วนดีอันหนึ่งของลัทธิพราหมณ์ที่ข้าพเจ้ายกย่องไว้ ณ ที่นี้ด้วย พราหมณ์ ๒ สายนี้ตั้งอาณาจักรพราหมณ์ขึ้นในท้องถิ่นทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือสายตาบาตูปาฮัต เริ่มตั้งแต่อาณาจักรลังกาสุกะขึ้นมาทางเหนือของแหลมมลายูตั้งเมืองที่เป็นปึกแผ่นก็ที่พัทลุงเดิม เมืองสทิงปุระรอบๆ ทะเลสาบสงขลาไต่ขึ้นมาจนถึง “หาดทรายแก้ว” ของอาณาจักร “ตามพรลิงค์” ส่วนพวกที่ ๔ ของสายตะโกลา พอถึงริมฝั่งทะเลอ่าวไทยแล้ววกลงทางใต้เข้าสู่หาดทรายแก้วเหมือนกัน แต่มาตั้งรกรากหลักฐานเป็นปึกแผ่น สร้างเทวสถานที่ปรากฏอยู่จนกระทั่งบัดนี้ คือหอพระอิศวรและหอพระนารายณ์ แผ่เนื้อที่ครอบคลุมชุมชนพราหมณ์บริเวณโดยรอบถึงวัดเสมาเมืองและเสมาชัย เฉพาะในท้องที่หาดทรายแก้วนั้น พราหมณ์สายบาตูปาฮัตขยายลุกล้ำเข้ามาจนถึงบ้านหินหลักเดี๋ยวนี้
มีหลักฐานที่เป็นเอกสารที่ระบุถึงชื่อดินแดนแห่งหนึ่งในโลก เรียกว่า “ตามพรลิงค์” ซึ่งต่อมานักประวัติศาสตร์ทั่วไปรับรองว่าหมายถึงนครศรีธรรมราช นั้นก็คือแผนที่ของปโตเลมีแสดงว่า ตั้งอยู่ในแหลมมาลายู มีอาณาเขตจดฝั่งทะเลตะวันออกของอ่าวไทย ระหว่างท้องที่ซึ่งเรียกกันโดยนักประวัติศาสตร์ว่า “หาดทรายแก้ว” แล้วแผ่ไปจนถึงเมืองครึหิ (ไชยา) ทางตอนใต้ของตามพรลิงค์ไปก็เป็นอาณาจักร “ลังกาสุกะ”นอกจากนี้ที่เชื่อถือได้แน่ชัดก็คือจากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงที่จารึกให้เกียรติสูงสุดแก่ชาวเมืองนครศรีธรรมราช ตอนที่ว่า “สังฆราช ปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร หลวกกว่าปู่ครูในเมืองทุกคน ลุกแต่ในเมืองนครศรีธรรมราชมา” ก็เป็นอันคำว่า “ศรีธรรมราช”ได้เข้าไปปรากฏในวงการประวัติศาสตร์โลกเป็นครั้งแรก เพราะศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักนี้ ชาติอังกฤษถือเป็น “แม็กนาคาตา” ของประเทศไทยที่เดียว
เมื่อพิจารณาถึงการตั้งเมืองนครศรีธรรมราช ในสถานที่แห่งใหม่นี้จะเห็นท้องที่ที่เรียกว่า “หาดทรายแก้ว” เป็นท้องที่ที่เหมาะสมที่สุดในสมัยนั้นทางตะวันออกจดทะเล เป็นท่าเรือพาณิชย์สากลทางตะวันตกเป็นที่นาและที่สวน ทางทิศเหนือและทิศใต้ก็จดประเทศพันธมิตรซึ่งไม่มีทางที่จะเป็นศัตรูกันได้คืออาณาจักรลังกาสุกะ ดังนี้ผู้ (ตั้งตัว) เป็นใหญ่หรือพระเจ้าแผ่นดินของอาณาจักรซึ่งเรียกชื่อทีหลังว่า “ศรีธรรมราช” นั้น จึงได้ประกอบพิธีตั้งเมือง
หลักปฏิบัติในศาสนาพราหมณ์
ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูมีแหล่งกำเนิดในเอเชียใต้ คือ อินเดีย นับถือกันมากในประเทศอินเดีย มีเป็นส่วนน้อยตามประเทศต่าง ๆ เช่น ลังกา บาหลี อินโดนีเซีย ไทย แอฟริกาใต้ นับถือกันมายาวนานตั้งแต่ยุคอินเดียโบราณก่อนมัยพุทธกาล จนถึงปัจจุบัน "พระเวท" ซึ่งเป็นคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ ได้รับยกย่องว่าเป็น "วรรณคดีเก่าแก่ที่สุดในโลก" ด้วย ศาสนาพรหมณ์เป็นศาสนาที่มีความเชื่อและแนวทางปฏิบัติต่างกันมากมาย ทั้งในสมัยเดียวกันและสมัยต่างกัน แม้แต่ชื่อของศาสนาเอง ก็ยังเรียกต่างกันไปตามกาลเวลา เช่น
1. สนตนธรรม แปลว่า "ศาสนาสนต" หมายความว่า เป็นศาสนาที่ดำรงอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีวันเสื่อมสูญ
2. ไวทิกธรรม แปลว่า "ธรรมที่ได้มาจากพระเวท"
3. อารยธรรม แปลว่า "ธรรมอันดีงาม"
4. พราหมณธรรม แปลว่า"คำสอนของพราหมณาจารย์"
5. ฮินทูธรรม หรือ ฮินดูธรรม แปลว่า "ธรรมที่สอนลัทธิอหิงสาหรือศาสนาฮินดู" ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูก็คือศาสนาเดียวกันนั่นเอง การที่มีชื่อเรียกควบคู่กันไป 2 ชื่อ คือ "พราหมณ์-ฮินดู" เพราะผู้ให้กำเนิดศาสนานี้
ในตอนแรกเริ่มเรียกตัวเองว่า "พราหมณ์" ต่อมาศาสนาเสื่อมลงระยะหนึ่งและได้มาฟื้นฟูปรับปรุงเป็นให้เป็นศาสนาฮินดู โดยเพิ่มบางสิ่งบางอย่างเข้าไป มีการปรับปรุงเนื้อหาหลักธรรม คำสอนให้ดีขึ้น คำว่า "ฮินดู" เป็นคำที่ใช้เรียกชาวอารยันที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำสินธุ และเป็นคำที่ใช้เรียกลูกผสมของชาวอารยันกับชาวพื้นเมือง ในชมพูทวีป และชนพื้นเมืองนี้ได้พัฒนาศาสนาพราหมณ์โดยการเพิ่มเติมอะไรใหม่ ๆ ลงไป แล้วเรียกศาสนาของพวกนี้ว่า "ศาสนาฮินดู"เพราะฉะนั้นศาสนาพราหมณ์จึงมีอีกชื่อในศาสนาใหม่ว่า "ฮินดู" จนถึงปัจจุบัน
ในอดีตศาสนาพรหมณ์หรือฮินดูจะมีการจัดคัมภีร์ออกเป็น 3 พวกตามการยกย่องนับถ้อเทวะทั้ง 3 โดยแยกเป็น 3 นิกายใหญ่ ๆ นิกายใดนับถือเทวะองค์ใดก็ยกย่องว่าเทวะองค์นั้นสูงสุด ต่อมานักปราชญ์ชาวฮินดูได้กำหนดให้เทวะทั้งสามองค์เป็นใหญ๋สูงสุดเสมอกัน เทวะทั้ง 3 นี้ได้รับการนำมารวมกันเรียว่า "ตรีมูรติ" ใช้คำสวดว่า "โอม" ซึ่งย่อมาจาก "อะ อุ มะ" แต่ละพยางค์แทนเทวะ 3 องค์ คือ
"อะ" แทนพระวิษณุหรือพระนารายณ์
"อุ" แทนพระศิวะหรือพระอิศวร
"มะ" แทนพระพรหม
ศาสนาพราหมณ์มีคัมภร์และวรรณคดีทางศาสนามากมาย ถ้าจะแบ่งยุคของศาสนาพราหมณ์ แบ่งได้ดังนี้
1. ยุคพระเวท
2. ยุคมหากาพย์และทรรศนะทั้ง 6
3. ยุคหลังจนถึงยุคปัจจุบัน
4. ยุคพระเวท มีคัมภีร์พระเวทเป็นคัมภีร์สำคัญของศาสนาพราหมณ์
ปุราณะ
คำว่า “ปุราณะ” แปลว่า “เก่า” เป็นนามที่ใช้เรียกหนังสือจำพวกหนึ่งซึ่งพราหมณ์เก็บรวบรวมแต่งขึ้นภายหลังยุคหนังสือจำพวกที่เรียกว่า “อิติทาส” เช่นเรื่องมหาภารตะและรามายนะ หนังสือต่าง ๆ ของพราหมณ์แบ่งออกเป็น 3 ชุดตามลักษณะแห่งหนังสือ คือ
1. ยุคพระเวท เป็นยุคที่แต่งตามตำรับที่ออกนามว่าพระเวท พร้อมด้วยตำรับอื่น ๆ อันเป็นบริวาร มีข้อความกล่าวด้วยการบูชายัญสรรเสริญพระเป็นเจ้าโดยวิธีอย่างเก่าที่สุด ไม่ใคร่จะมีเรื่องราวเล่าเป็นนิยาย หรือประวัติพิสดาร
2. ยุคหิติทาส เป็นยุคที่เกิดมีวีรบุรุษ (คือคนเก่งในสงคราม)ขึ้นแล้ว จึงมีผู้คิดรวบรวมเรื่องราวอันเป็นตำนานเนื่องด้วยวีรบุรุษเหล่านี้ รจนาขึ้นเป็นกาพย์ให้จำง่ายแล้วสอนศิษย์สาธยายในกาลเวลาอันควร แล้วจำกันต่อ ๆ มา เช่นเรื่องรามายนะ มหาภารตะ เป็นต้น แต่ไม่มีผู้ใดจดลงเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมาอีกร้อยปีจึงมีการจดเป็นหนังสือ ฉะนั้นอิทธิพลของหนังสืออิติทาสเหล่านี้จึงมักมีข้อผนวกหรือแก้ไขเกินไปกว่าเรื่องเดิม เช่น นับถือพระนารายณ์และกฤษณะในส่วนที่เป็นวีรบุรุษก่อน แล้วจึงเกณฑ์ให้เป็นพระนารายณ์อวตารต่อไป แต่ถึงอย่างไรวีรบุรุษเหล่านี้ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่
3. ยุคปุราณะ เมื่อยกย่องวีรบุรุษต่าง ๆ มากขึ้นทุกที ๆ จนกลายเป็นเทวดาไปเลย จึงเกิดมีตำรับชุดปุราณะขึ้นสำหรับเป็นหลักฐานว่าพระผู้เป็นเจ้านั้น ๆ ได้ทรงอภินิหารอย่างนั้น ๆ และได้ทรงเสด็จมาเอื้อต่อมนุษย์โดยทรงอวตารหรือแบ่งภาคมาอย่างนั้น ๆ และลักษณะการสั่งสอนโดยวิธีเล่าเป็นนิทานธรรมะก็เป็นวิธีที่พวกอาจารย์สังเกตเห็นว่าเป็นที่พอใจแก่การศึกษา เป็นผลดีทำให้จดจำคำสั่งสอนไว้ได้ดีขึ้น จึงเกิดเป็นตำราที่เรียกว่า “ปุราณะ” คืออ้างว่ารวบรวมมาจากเรื่องเก่า ๆ มาตกแต่งขึ้นไว้เพื่อเป็นหลักฐาน พราหมณ์และสามัญชนจำนวนน้อยที่รู้จักไตรเพทที่แท้จริง จึงถือเอาชุดปุราณะเป็นตำรับสำคัญของลัทธิไสยศาสตร์
พระเวท หรือไตรเพท
ในประเทศอินเดีย ได้มีการแบ่งชนชั้นออกเป็น 4 วรรณะ คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ และศูทร วรรณะพราหมณ์ถือว่าเป็นวรรณะสูงสุด เป็นพวกทำหน้าที่ทางศาสนา “พราหมณ์”เป็นคำศัพท์ที่เนื่องมาจากคำว่า “พรหม” คนในวรรณะนี้ถือว่าตนสืบเชื้อสายมาจากพรหม สามารถติดต่อเกี่ยวข้องกับโองการต่าง ๆ จากพรหมซึ่งเป็นพระผู้เป็นเจ้ามาแจ้งแก่ชาวโลกมนุษย์ได้ สามารถติดต่อบวงสรวงอ้อนวอนเทพเจ้าให้มาประสาทพรหรือบันดาลความเป็นไปต่าง ๆ ในโลกมนุษย์ได้
พวกพราหมณ์จึงเป็นที่เคารพยำเกรงของคนทุกวรรณะ แม้แต่กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ในการปกครอง เมื่อพวกพราหมณ์มีอำนาจมาก มีคนยำเกรงมาก โอกาสที่จะแสวงหาลาภสักการะจึงมีมาก พวกพราหมณ์แต่ละพวกจะแข่งขันในการทำพิธีโดยถือว่าการจัดทำพิธีต่าง ๆ ให้ถูกต้องตามพิธีที่กำหนดไว้ในพระเวทเป็นสิ่งสำคัญ ชนวรรณะพราหมณ์ได้รวบรวมสรรพวิชาทั้งหลายที่ตนค้นพบหรือเข้าใจเรื่อง ประมวลความรู้เรียกว่า “ไสยศาสตร์” ซึ่งขึ้นต้นด้วยวิชาที่สำคัญที่สุดคือ “พระเวท”อันหมายถึงวิชาการที่เกี่ยวกับพรหม เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่มนุษย์ต้องเคารพบูชา สมัยนั้นยังไม่มีหนังสือ จึงต้องใช้วอธีท่องจำและสอนต่อ ๆ กันมา พระเวทประกอบด้วย “มนตร์” คือคาถาสำหรับท่องจำกับ “พราหมณะ” ซึ่งเป็นคัมภีร์คู่มือที่พวกพราหมณ์แต่ละกลุ่มได้เพิ่มเติมในพิธีกรรมของตนให้ละเอียดพิสดารขึ้น จนพราหมณ์เองไม่สามารถท่องจำได้ จึงต้องมีคู่มือ “พราหมณะ”คือคำอธิบายลัทธิพิธีกรรมต่าง ๆ ของพระเวท แต่เดิมมี 3 อย่าง เรียกว่า “ไตรเพท” ได้แก่
1. ฤคเวท เป็นคัมภีร์เก่าแก่ที่สุด ถือกันว่าออกจากโอษฐ์ของพระพรหมซึ่งพวกฤๅษีได้สดับแล้วนำมาอนุศาสน์นรชนอีกต่อหนึ่ง กล่าวด้วยเทวดาต่าง ๆ และการบนบานให้ช่วยขจัดภัยทั้งมวล
2. ยชุรเวท กล่าวด้วยพิธีกรรมต่าง ๆเป็นตำราการทำพิธิกรรมของพราหมณ์โดยตรง
3. สามเวท กล่าวด้วยบทคาถาสังเวยสำหรับเห่กล่อมเทวดา บูชาน้ำโสมแก่เทวะทั้งหลาย (“สาม” แปลว่า สวด) ดังมีบทเห่กล่อมพระนเรศร์–พระนารายณ์ หลังพิธีตรียัมปวายเสร็จสิ้นแล้ว
ต่อมาเพิ่ม “อาถรรพเวท” ซึ่งเป็นพระเวทที่เกี่ยวกับอาถรรพ์ต่าง ๆ มีมนตร์สำหรับใช้ในกิจการทั้งปวง รักษาโรคภัยไข้เจ็บ หรือกำจัดผลร้ายอันจะมีมาแต่พยาธิและมรณภัย และรวมทั้งสำกรับใช้ทำร้ายแก่หมู่อมิตรโดยเสกสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้าตัว หรือฝังรูปฝังรอย หรือทำเสน่ห์ยาแฝด
นอกจากพระเวททั้ง 4 นี้แล้ว ยังมี “พระเวทรอง” อีก 4 อย่าง เรียก “อุปเวท” เป็นวิชาที่กล่าวด้วยวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ อันเป็นวิทยาการโดยเฉพาะคือ
1. อยุรเวท ได้แก่ตำราแพทย์ศาสตร์ กล่าวด้วยการใช้สมุนไพรและมนตร์ต่าง ๆ ในการรักษาโรค มีเทวดาประจำเป็นเจ้าของคือฤๅษีทั้งแปดซึ่งไม่ปรากฏนามแน่นอนตำรา
2. คานธรรพเวท ได้แก่ตำราขับร้องและดนตรี กับนาฎยศาสตร์หรือการฟ้อนรำ มีเทวดาประจำคือพระนารทฤๅษี หรือที่เรียกว่าพระนารอทหรือพระปรคนธรรพ์
3. ธนุรเวท ได้แก่วิชายิงธนูและการใช้อาวุธสงคราม ซึ่งบัดนี้เรียก “ยุทธศาสตร์” มีเทวดาประจำคือ พระขันทกุมาร
4. สถาปัตยเวท ได้แก่ วิชาก่อสร้างซึ่งเรียกว่า “สถาปัตยกรรม” เทวดาประจำคือ พระวิศนุกรรม
วิธีเรียนพระเวทให้ได้ผลนั้นเรียกว่า “เวทางค์” คือองค์ของพระเวทมี 6 บท หมายความว่าจะต้องถนัดจัดเจนในหลักของเวทางค์เสียก่อนแล้งจึงเข้าสู่การเรียนพระเวทโดยตรง เวทางค์ทั้ง 6 องค์ ได้แก่
1. ศึกษา คือการเรียนออกสำเนียงให้ถูกต้อง ทั้งรู้จักครุ-ลหุ และวิธีอ่าน
2. ฉันท์ คือการรู้จักคณะฉันท์ และแต่งได้บ้างพอสมควร คำฉันท์มาจากตำราไสยศาสตร์โดยตรงซึ่งในลักษณะเดิมมีการจำกัดแต่ครุ-ลหุของคำ นักวรรณคดีไทยได้บัญญัติสมัผัสสระและสัมผัสอักษรลงไปด้วย
3. ไวยกรณ์ คือวิธีการเรียบเรียงถ้อยคำให้เข้ากับภาษา
4. นิรุกต์ คือการแปลศัพท์ให้ถูกต้องตามมูลธาตุเดิมของคำนั้น ๆ
5. โชยดิษ คือตำราโหราศาสตร์ซึ่งเป็นของที่นิยมกันตลอดมาจนถึงุกวันนี้ เป็นวิชาพยากรณ์โชคชะตา
6. กัลป คือตำรากระทำกิจพิธีต่าง ๆ ดังปรากฏในสูตรต่าง ๆ ที่พราหมณ์ร้อยกรองไว้ในพระยัชุรเวท
ในเวทางค์ทั้ง 6 นี้ “กัลป” เป็นองคฺสำคัญกว่าเพื่อนสำหรับการเขียนพระเวทตามหลักไสยศาสตร์เพื่อเข้าถึงพรหม แบ่งออกเป็น 3 สูตร คือ
1. เศตราสูตร ว่าด้วยการพลีกรรม
2. คฤหสูตร ว่าด้วยพิธีประจำบ้าน
3. ธรรมสูตร ว่าด้วยข้อปฎิบัติสำหรับประชาชนทุกวรรณะ
วรรณะพราหมณ์ในศาสนาฮินดู
ในประเทศอินเดียได้แบ่งคนออกเป็น 4 วรรณะ คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศ ศูทร ในที่นี้จะกล่งถึงวรรณะพราหมณ์ หรือตระกูลนักบวชเท่านั้น นี้ไม่จำเป็นต้องบวชทุกคน แบ่งออกเป็น 4 ชั้นคือ
1. พรหมจารี คือพวกนักเรียน มีหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติและศึกษาพระเวทในสำนักคณาจารย์คนใดคนหนึ่ง (เทียบกับศาสนาพุทธ คือ สามเณร และนวกะ)
2. คฤหบดี คือผู้ครองเรือน มีภรรยา มีครอบครัว เป็นหัวหน้าในบ้าน อ่านและสอนพระเวท ทำการบูชาเอง หรือช่วยผู้อื่นกระทำยัญกรรม ให้ทาน และรับทักษิณา
3. วานปรัสถ์ คือผู้อยู่ป่าละเคหสถานและครอบครัวเข้าป่าเพื่อทรมานตน มักน้อยในอาหารและเครื่องนุ่งห่ม กระทำทุกรกริยา สมาธิมั่นคงในกิจวัตร ได้แก่
ฤๅษี แปลว่า ผู้แสวง หมายถึงแสวงหาโมกษะ คือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
โยคี แปลว่า ผู้บำเพ็ญโยคะ คือทรมานกายโดยวิธีแห่งอิริยาบถต่าง ๆ เพื่อหวังผลสำเร็จเป็นผู้วิเศษ เช่น ยืนขาเดียวเหนี่ยวกินลมนานนับสิบปี นั่งสมาธิโดยไม่ลุกขึ้นเลยเป็นเวลาสิบปี
ดาบส แปลว่า ผู้บำเพ็ญตบะ คือความเพ่งเล็งในดวงจิตเพื่อประโยชน์ให้อาตมันเข้าร่วมอยู่ในปรมัตถ์ (หรือปรพรหม) ให้เกิดความบริสุทธิ์ใสสะอาด แม้กระทบอารมณ์ใด ๆ ก็ไม่แปรปรวน
มุนี แปลว่าผู้สงบได้แก่ผู้สำเร็จฌานสมบัติ คือผู้กระทำตบะและโยคะจนถึงที่สุดแล้ว
สิทธา แปลว่า ผู้สำเร็จฌานสมาบัติ คือผู้กระทำตบะและโยคะจนถึงที่สุดแล้ว
นักพรต แปลว่า ผู้บวชและถือพรตตามลัทธิพราหมณ์
ชฎิล แปลว่า ฤๅษีผู้มุ่นมวยผมสูงเป็นชฎา
4. สันยาสี ได้แก่พวกที่เพียรภิกขาจาร เลี้ยงชียงด้วยการขอทานและตั้งจิตมั่นมุ่งตรงพระปรมพรหมและนฤพาน อีกนัยหนึ่งเรียกว่า “ภิกษุ” (คำนี้ใช้เรียกนักบวชในพระพุทธศาสนาเป็นพื้น)
การเผยแผ่ของศาสนาพราหมณ์ฺูในประเทศไทย
ศาสนาฮินดูที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยนั้นคือช่วงที่เป็นศาสนาพราหมณ์ โดยเข้ามาที่ประเทศไทยเมื่อใดนั้นไม่ปรากฏระยะเวลาที่แน่นอน นักประวัติศาสตร์ส่วนมากสันนิษฐานว่าศาสนาพราหมณ์นี้น่าจะเข้ามาก่อนสมัยสุโขทัย โบราณสถานและรูปสลักเทพเจ้าเป็นจำนวนมาก ได้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศาสนา เช่น รูปสลักพระนารายณ์ 4 กร ถือสังข์ จักร คทา ดอกบัว สวมหมวกกระบอก เข้าใจว่าน่าจะมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 9-10 หรือเก่าไปกว่านั้น (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงเทพฯ)
นอกจากนี้ได้พบรูปสลักพระนารายณ์ทำด้วยศิลาที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โบราณสถานที่สำคัญที่ขุดพบ เช่น ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี เทวสถานเมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาในสมัยสุโขทัยศาสนาพราหมณ์ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นควบคู่ไปกับพุทธศาสนาในสมัยนี้มีการค้นพบเทวรูป พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม พระแม่อุมา พระหริหระ ส่วนมากนิยมหล่อสำริด
นอกจากหลักฐานทางศิลปกรรมแล้วในด้านวรรณคดีได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ เช่น ตำหรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือนางนพมาศ หรือแม้แต่ประเพณีลอยกระทง เพื่อขอสมาลาโทษพระแม่คงคา น่าจะได้อิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์เช่นกัน
ในสมัยอยุธยา เป็นสมัยที่ศาสนาพราหมณ์เข้ามามีอิทธิพลทางวัฒนธรรมประเพณีเช่นเดียวกับสุโขทัย พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ทรงยอมรับพิธีกรรมที่มีศาสนาพราหมณ์เข้ามา เช่น พิธีแช่งน้ำ พิธีทำน้ำอภิเษกก่อนขึ้นครองราชย์สมบัติ พิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีจองเปรียง พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีตรียัมปวาย เป็นต้น โดยเฉพาะสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงนับถือทางไสยศาสตร์มาก ถึงขนาดทรงสร้างเทวรูปหุ้มด้วยทองคำทรงเครื่องลงยาราชาวดีสำหรับตั้งในการพระราชพิธีหลายองค์ ในพิธีตรียัมปวายพระองค์ได้เสด็จไปส่งพระเป็นเจ้าถึงเทวสถานทุก ๆ ปีี ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พิธีต่าง ๆ ในสมัยอยุธยายังคงได้รับการยอมรับนับถือจากพระมหากษัตริย์และปฏิบัติต่อกันมา คือ
1. พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นการเทิดพระเกียรติขององค์พระประมุข พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดเกล้าฯให้ผู้รู้แบบแผนครั้งกรุงเก่าทำการค้นคว้าเพื่อจะได้สร้างแบบแผนที่สมบูรณ์ตามแนวทางแต่เดิมมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาและเพิ่มพิธีสงฆ์เข้าไปซึ่งมี 5 ขั้นตอน คือ
1.1 ขั้นเตรียมพิธี มีการทำพิธีเสกน้ำ การทำพิธีจารึกพระสุพรรณบัฎ ดวงพระราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกรประจำรัชกาล
1.2 ขั้นพิธีเบื้องต้น มีการเจริญพระพุทธมนต์
1.3 ขั้นพิธีบรมราชาภิเษก มีการสรงพระมุรธาภิเษก จากนั้นรบการถวายสิริราชสมบัติและเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์
1.4 ขั้นพิธีเบื้องปลาย เสด็จออกมหาสมาคมและสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินีแล้วเสด็จพระราชดำเนินไปทำพิธีประกาศพระองค์เป็นศาสนูปถัมภกในพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งถวายบังคมพระบรมศพพระบรมอัฐิพระเจ้าอยู่หัวองค์ ก่อนและเสด็จเฉลิมพระราชมณเฑียร เสด็จเลียบพระนคร
2. การทำน้ำอภิเษก
พระมหากษัตริย์ที่จะเสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติบรมราชาภิเษก จะต้องสรงพระมุรธาภิเษกและทรงรับน้ำอภิเษกก่อนได้รับการถวายสิริราชสมบัติตามตำราพราหมณ์ น้ำอภิเษกนี้ใช้น้ำจากปัญจมหานที คือ คงคา ยมุนา มหิ อจิรวดี และสรภู ซึ่งทำเป็นน้ำที่ไหลมาจากเขาไกรลาส อันเป็นที่สถิตย์ของพระศิวะสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 4 ใช้น้ำ 4 สระในเขตสุพรรณ คือ สระเกษ สระแก้ว สระคงคาและสระยมุนา และได้เพิ่มน้ำจากแม่น้ำสำคัญในประเทศ 5 สาย คือ
น้ำในแม่น้ำบางปะกง ตักที่บึงพระอาจารย์ แขวงนครนายก
น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ตักที่ตำบลบางแก้ว เขตอ่างทอง
น้ำในแม่น้ำราชบุรี ตักที่ตำบลดาวดึงส์ เขตสมุทรสงคราม
น้ำในแม่น้ำเพชรบุรี ตักที่ตำบลท่าไชย เขตเมืองเพชรบุรี แบบนิกายพุทธตันตระ
3. พระราชพิธีจองเปรียง
คือ การยกโคมตามประทีปบูชาเทพเจ้าตรีมูรติ กระทำในเดือนสิบสองหรือเดือนอ้าย โดยพราหมณ์เป็นผู้ทำพิธีในพระบรมมหาราชวัง พระราชครู ฯ ต้องกินถั่วกินงาน 15 วัน ส่วนพราหมณ์อื่นกินคนละ 3 วัน ทุกเช้าต้องถวายน้ำมหาสังข์ ทุกวันจนถึงลดโคมลง ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ทรงโปรดให้เพิ่มพิธีพุทธศาสนาเข้ามาด้วยโดยโปรดให้มีสวดมนต์เย็นแล้วฉันเช้า อาลักษณ์อ่านประกาศพระราชพิธี จากนั้นแผ่พระราชกุศลให้เทพยดาพระสงฆ์เจริญพุทธมนต์ต่อไป จนได้ฤกษ์แล้วทรงหลั่งน้ำสังข์และเจิมเสาโคมชัยจึงยกโคมขึ้น เสาโคมชัยนี้ที่ยอดมีฉัตรผ้าขาว 9 ชั้น โคมประเทียบ 7 ชั้น ตลอดเสาทาน้ำปูนขาว มีหงส์ติดลูกกระพรวน นอกจากนี้มีเสาโคม บริวารประมาณ 100 ต้น ยอดฉัตรมีผ้าขาวสามชั้น
4. พระราชพิธีตรียัมปวาย
เป็นพิธีส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของพราหมณ์ เชื่อกันว่าเทพเจ้าเสด็จมาเยี่ยมโลกทุกปีจึงจัดพิธีต้อนรับให้ใหญ่โตเป็นพิธีหลวงที่มามานานแล้ว ในสมัยรัตนโกสินทร์ได้จัดกันอย่างใหญ่โตมากกระทำพระราชพิธีนี้ที่เสาชิงช้าหน้าวัดสุทัศน์ ชาวบ้านเรียกพิธีนี้ว่า "พิธีโล้ชิงช้า" พิธีนี้กระทำในเดือนอ้าย ต่อมาเปลี่ยนเป็นเดือนยี่
5. พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัล
แต่เดิมมาเป็นพิธีพราหมณ์ ภายหลังได้เพิ่มพิธีสงฆ์จึงทำให้เกิดเป็น 2 ตอน คือ พิธีพืชมงคลเป็นพิธีสงฆ์เริ่มตั้งแต่การนำพันธ์พืชมาร่วมพิธี พระสงฆ์สวดมนต์เย็นที่ท้องสนามหลวงจนกระทั่งรุ่งเช้ามีการเลี้ยงพระต่อ ส่วนพิธีจรดพระนังคัลเป็นพิธีของพราหมณ์กระทำในตอนบ่าย ปัจจุบันนี้พิธีกรรมของพราหมณ์ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อสังคมไทยเริ่มลดบทบาทลงไปมากเพราะพุทธศาสนาได้เข้ามา มีอิทธิพลแทนทั้งในพระราชพิธีและพิธีกรรมทั่ว ๆ ไปในสังคม อย่างไรก็ตามพิธีพราหมณ์เท่าที่เหลืออยู่และยังมีผู้ปฏิบัติสืบกันมา ได้แก่ พิธีโกนผมไฟ พิธีโกนผมจุก พิธีตั้งเสาเอก พิธีตั้งศาลพระภูมิ พิธีเหล่านี้ยังคงมีผู้นิยมกระทำกันทั่วไปในสังคม ส่วนพระราชพิธีที่ปรากฏอยู่ ได้แก่ พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก และพิธีทำน้ำอภิเษก เป็นต้น
สำหรับพิธีกรรมในศาสนาฮินดูซึ่งเป็นพราหมณ์ใหม่ ไม่ใคร่มีอิทธิพลมากนัก แต่ก็มีผู้นับถือและสนใจร่วมในพิธีกรรมเป็นครั้งคราว ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความเชื่อในพระเป็นเจ้าตรีมูรติทั้ง 3 องค์ ยังคงมีอิทธิพลควบคู่ไปกับการนับถือ พุทธศาสนา ประกอบกับในโบสถ์ของพวกฮินดูมักจะตั้งพระพุทธรูปรวม ๆ ไปกับรูปปั้นของพระผู้เป็นเจ้า ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากความเชื่อในเรื่องอวตารของพระวิษณุ ทำให้คนไทยที่นับถือพุทธศาสนาบางกลุ่มนิยมมาสวดอ้อนวอนขอพรและบนบาน หลายคนถึงขนาดเข้าร่วมพิธีกรรมของฮินดู จึงเข้าลักษณะที่ว่านับถือทั้งพุทธทั้งฮินดูปนกันไป
พราหมณ์ทำพิธีเชียงราย
พราหมณ์ทำพิธีเชียงใหม่
พราหมณ์ทำพิธีน่าน
พราหมณ์ทำพิธีพะเยา
พราหมณ์ทำพิธีแพร่
พราหมณ์ทำพิธีแม่ฮ่องสอน
พราหมณ์ทำพิธีลำปาง
พราหมณ์ทำพิธีลำพูน
พราหมณ์ทำพิธีอุตรดิตถ์
พราหมณ์ทำพิธีกาฬสินธุ์
พราหมณ์ทำพิธีขอนแก่น
พราหมณ์ทำพิธีชัยภูมิ
พราหมณ์ทำพิธีนครพนม
พราหมณ์ทำพิธีนครราชสีมา
พราหมณ์ทำพิธีบึงกาฬ
พราหมณ์ทำพิธีบุรีรัมย์
พราหมณ์ทำพิธีมหาสารคาม
พราหมณ์ทำพิธีมุกดาหาร
พราหมณ์ทำพิธียโสธร
พราหมณ์ทำพิธีร้อยเอ็ด
พราหมณ์ทำพิธีเลย
พราหมณ์ทำพิธีสกลนคร
พราหมณ์ทำพิธีสุรินทร์
พราหมณ์ทำพิธีศรีสะเกษ
พราหมณ์ทำพิธีหนองคาย
พราหมณ์ทำพิธีหนองบัวลำภู
พราหมณ์ทำพิธีอุดรธานี
พราหมณ์ทำพิธีอุบลราชธานี
พราหมณ์ทำพิธีอำนาจเจริญ
พราหมณ์ทำพิธีกำแพงเพชร
พราหมณ์ทำพิธีชัยนาท
พราหมณ์ทำพิธีนครนายก
พราหมณ์ทำพิธีนครปฐม
พราหมณ์ทำพิธีนครสวรรค์
พราหมณ์ทำพิธีนนทบุรี
พราหมณ์ทำพิธีปทุมธานี
พราหมณ์ทำพิธีพระนครศรีอยุธยา
พราหมณ์ทำพิธีพิจิตร
พราหมณ์ทำพิธีพิษณุโลก
พราหมณ์ทำพิธีเพชรบูรณ์
พราหมณ์ทำพิธีลพบุรี
พราหมณ์ทำพิธีสมุทรปราการ
พราหมณ์ทำพิธีสมุทรสงคราม
พราหมณ์ทำพิธีสมุทรสาคร
พราหมณ์ทำพิธีสิงห์บุรี
พราหมณ์ทำพิธีสุโขทัย
พราหมณ์ทำพิธีสุพรรณบุรี
พราหมณ์ทำพิธีสระบุรี
พราหมณ์ทำพิธีอ่างทอง
พราหมณ์ทำพิธีอุทัยธานี
พราหมณ์ทำพิธีจันทบุรี
พราหมณ์ทำพิธีฉะเชิงเทรา
พราหมณ์ทำพิธีชลบุรี
พราหมณ์ทำพิธีตราด
พราหมณ์ทำพิธีปราจีนบุรี
พราหมณ์ทำพิธีระยอง
พราหมณ์ทำพิธีสระแก้ว
พราหมณ์ทำพิธีกาญจนบุรี
พราหมณ์ทำพิธีตาก
พราหมณ์ทำพิธีประจวบคีรีขันธ์
พราหมณ์ทำพิธีเพชรบุรี
พราหมณ์ทำพิธีราชบุรี
พราหมณ์ทำพิธีกระบี่
พราหมณ์ทำพิธีชุมพร
พราหมณ์ทำพิธีตรัง
พราหมณ์ทำพิธีนครศรีธรรมราช
พราหมณ์ทำพิธีนราธิวาส
พราหมณ์ทำพิธีปัตตานี
พราหมณ์ทำพิธีพังงา
พราหมณ์ทำพิธีพัทลุง
พราหมณ์ทำพิธีภูเก็ต
พราหมณ์ทำพิธีระนอง
พราหมณ์ทำพิธีสตูล
พราหมณ์ทำพิธีสงขลา
พราหมณ์ทำพิธีสุราษฎร์ธานี
พราหมณ์ทำพิธียะลา
พราหมณ์ทำพิธีกรุงเทพมหานคร
พราหมณ์ทำพิธีคลองสาน
พราหมณ์ทำพิธีคลองสามวา
พราหมณ์ทำพิธีคลองเตย
พราหมณ์ทำพิธีคันนายาว
พราหมณ์ทำพิธีจอมทอง
พราหมณ์ทำพิธีดอนเมือง
พราหมณ์ทำพิธีดินแดง
พราหมณ์ทำพิธีดุสิต
พราหมณ์ทำพิธีตลิ่งชัน
พราหมณ์ทำพิธีทวีวัฒนา
พราหมณ์ทำพิธีทุ่งครุ
พราหมณ์ทำพิธีธนบุรี
พราหมณ์ทำพิธีบางกอกน้อย
พราหมณ์ทำพิธีบางกอกใหญ่
พราหมณ์ทำพิธีบางกะปิ
พราหมณ์ทำพิธีบางคอแหลม
พราหมณ์ทำพิธีบางซื่อ
พราหมณ์ทำพิธีบางนา
พราหมณ์ทำพิธีบางพลัด
พราหมณ์ทำพิธีบางรัก
พราหมณ์ทำพิธีบางเขน
พราหมณ์ทำพิธีบางแค
พราหมณ์ทำพิธีบึงกุ่ม
พราหมณ์ทำพิธีปทุมวัน
พราหมณ์ทำพิธีประเวศ
พราหมณ์ทำพิธีป้อมปราบศัตรูพ่าย
พราหมณ์ทำพิธีพญาไท
พราหมณ์ทำพิธีพระนคร
พราหมณ์ทำพิธีพระโขนง
พราหมณ์ทำพิธีภาษีเจริญ
พราหมณ์ทำพิธีมีนบุรี
พราหมณ์ทำพิธียานนาวา
พราหมณ์ทำพิธีราชเทวี
พราหมณ์ทำพิธีราษฎร์บูรณะ
พราหมณ์ทำพิธีลาดกระบัง
พราหมณ์ทำพิธีลาดพร้าว
พราหมณ์ทำพิธีวังทองหลาง
พราหมณ์ทำพิธีวัฒนา
พราหมณ์ทำพิธีสวนหลวง
พราหมณ์ทำพิธีสะพานสูง
พราหมณ์ทำพิธีสัมพันธวงศ์
พราหมณ์ทำพิธีสาทร
พราหมณ์ทำพิธีสายไหม
พราหมณ์ทำพิธีหนองจอก
พราหมณ์ทำพิธีหนองแขม
พราหมณ์ทำพิธีหลักสี่
พราหมณ์ทำพิธีห้วยขวาง
พราหมณ์ทำพิธีเมืองนครปฐม
พราหมณ์ทำพิธีกำแพงแสน
พราหมณ์ทำพิธีดอนตูม
พราหมณ์ทำพิธีนครชัยศรี
พราหมณ์ทำพิธีบางเลน
พราหมณ์ทำพิธีพุทธมณฑล
พราหมณ์ทำพิธีสามพราน
พราหมณ์ทำพิธีเมืองนนทบุรี
พราหมณ์ทำพิธีบางกรวย
พราหมณ์ทำพิธีบางบัวทอง
พราหมณ์ทำพิธีบางใหญ่
พราหมณ์ทำพิธีปากเกร็ด
พราหมณ์ทำพิธีไทรน้อย
พราหมณ์ทำพิธีเมืองปทุมธานี
พราหมณ์ทำพิธีคลองหลวง
พราหมณ์ทำพิธีธัญบุรี
พราหมณ์ทำพิธีลาดหลุมแก้ว
พราหมณ์ทำพิธีลำลูกกา
พราหมณ์ทำพิธีสามโคก
พราหมณ์ทำพิธีหนองเสือ
พราหมณ์ทำพิธีเมืองสมุทรปราการ
พราหมณ์ทำพิธีบางพลี
พราหมณ์ทำพิธีบางเสาธง
พราหมณ์ทำพิธีพระประแดง
พราหมณ์ทำพิธีพระสมุทรเจดีย์
พราหมณ์ทำพิธีเมืองระยอง
พราหมณ์ทำพิธีนิคมพัฒนา
พราหมณ์ทำพิธีเขาชะเมา
พราหมณ์ทำพิธีบ้านฉาง
พราหมณ์ทำพิธีปลวกแดง
พราหมณ์ทำพิธีวังจันทร์
พราหมณ์ทำพิธีแกลง
พราหมณ์ทำพิธีเมืองชลบุรี
พราหมณ์ทำพิธีเกาะจันทร์
พราหมณ์ทำพิธีบางละมุง
พราหมณ์ทำพิธีบ่อทอง
พราหมณ์ทำพิธีบ้านบึง
พราหมณ์ทำพิธีพนัสนิคม
พราหมณ์ทำพิธีพานทอง
พราหมณ์ทำพิธีศรีราชา
พราหมณ์ทำพิธีสัตหีบ
พราหมณ์ทำพิธีหนองใหญ่
พราหมณ์ทำพิธีเกาะสีชัง
พราหมณ์ทำพิธีเมืองสมุทรสาคร
พราหมณ์ทำพิธีกระทุ่มแบน
พราหมณ์ทำพิธีบ้านแพ้ว
พราหมณ์ทำพิธีมหาชัย
พราหมณ์ทำพิธีเมืองสมุทร
พราหมณ์ทำพิธีอัมพวา
พราหมณ์ทำพิธีบางคนที
พราหมณ์ทำพิธีเมืองราชบุรี
พราหมณ์ทำพิธีบ้านคา
พราหมณ์ทำพิธีจอมบึง
พราหมณ์ทำพิธีดำเนินสะดวก
พราหมณ์ทำพิธีบางแพ
พราหมณ์ทำพิธีบ้านโป่ง
พราหมณ์ทำพิธีปากท่อ
พราหมณ์ทำพิธีวัดเพลง
พราหมณ์ทำพิธีสวนผึ้ง
พราหมณ์ทำพิธีโพธาราม
พราหมณ์ทำพิธีเมืองฉะเชิงเทรา
พราหมณ์ทำพิธีคลองเขื่อน
พราหมณ์ทำพิธีท่าตะเกียบ
พราหมณ์ทำพิธีบางคล้า
พราหมณ์ทำพิธีบางน้ำเปรี้ยว
พราหมณ์ทำพิธีบางปะกง
พราหมณ์ทำพิธีบ้านโพธิ์
พราหมณ์ทำพิธีพนมสารคาม
พราหมณ์ทำพิธีราชสาส์น
พราหมณ์ทำพิธีสนามชัยเขต
พราหมณ์ทำพิธีแปลงยาว
พราหมณ์ทำพิธีเมืองนครนายก
พราหมณ์ทำพิธีปากพลี
พราหมณ์ทำพิธีบ้านนา
พราหมณ์ทำพิธีองครักษ์